เมื่อยักษ์ (ส่วน) ใหญ่ไม่เฮ
สวัสดีครับเพื่อนๆนักแทงบอลหรือแทงบอลออนไลน์ทุกๆคนครับ สัปดาห์ที่ 5 ของพรีเมียร์ลีกผ่านพ้นไปอย่างน่าผิดหวังสำหรับบรรดาทีมใหญ่ บิ๊กไฟต์ระหว่าง “เรือใบสีฟ้า” กับ “สิงห์บูลส์” จบลงด้วยผลเสมอ ขณะที่ทีมอื่น ยกเว้นแค่อาร์เซน่อล ต่างไม่อาจเก็บ 3 แต้ม เข้ากระเป๋า
ที่ เอดิฮัด สเตเดี้ยม การประลองปัญหาของ มานูเอล เปเยกรีนี่ และ โซเซ่ มูรินโญ่ เกือบได้ผลสรุปเหมือนฤดูกาลที่แล้ว ซึ่งเซลซีบุกมาคว่ำเจ้าถิ่นด้วยแท็กติกอันสุดเขี้ยว ไม่กี่เดือนผ่านไป ทั้งสองทีมยังนืดแท็กติกเดิมไว้ไม่ผิดเพี้ยน
ซิตี้เดินหน้ารุกเต็มสูบ แม้มีโอกาสลุ้นประตูแบบจะแจ้งแทบนับครั้งได้ก็ตาม ขณะที่เชลซีตั้งป้อมแน่นหนาฉวยโอกาสโจมตีจาการโต้กลับ การมีกองหน้าจอมเดือดอย่าง ดีเอโก้ คอสต้า ช่วยป่วนแนวรับเรือใบไม่น้อยและ ปาโบล ซาบาเลต้า กลายเป็นเหยื่อจากการโดนใบแดง
แม้มีส่วนร่วมในประตูขึ้นนำของ อันเดร เชือร์เล่ แต่นี่เป็นเกมแรกที่คอสต้าทำประตูไม่ได้ และหยุดตัวเลขซัลโวไว้ที่ 7 ประตู
ทว่า ไฮไลต์อยูที่อดีตขวัญใจสิงห์บูลส์คนนั้น แฟร้งค์ แลมพาร์ด ที่ลงดวลทีมเก่าพร้อมกับส่งบอลผ่าน ติโบต์ กูร์กตัวส์ ไปกองที่ก้นตาข่าย อันเป็นการทำหน้าที่อย่างมืออาชีพ
แน่ละ แลมพ์สกระอักกระอ่วนสำหรับสิ่งที่เกิดขึ้น แน่ละ เซาดีใจที่ทำประตูให้ต้นสังกัด และพาทีมเก็บแต้มได้ แต่ในอีกมุมหนึ่ง มันเป็นการยิงใส่คู่แข่งที่เขารักมากที่สุด
เปเยกรีนี่ไม่พอใจกับ 1 แต้ม ในวันนี้ ทั้งที่พวกเขาเป็นฝ่ายคุมเกมและเดินหน้าบุกตลอด ขณะที่มูรินโญ่ไม่สนใจอยู่แล้ว ขอเพียงได้ผลการแข่งขันที่ต้องการ
ผลเสมอ ทำให้เชลซีหยุดสถิติชนะรวด แม้นำเป็นจ่าฝูงเหมือนเดิม แต่คะแนนไม่ฉ๊กออกไปเท่าไหร่
ส่วนอุกคู่ในวันเดียวกัน แมนฯ ยูไนเต็ด ช็อกตาตั้ง ทั้งที่เป็นฝ่ายบุกมานำเลสเตอร์ ซิตี้ ถึง 3-1 ตั้งแต่ยังไม่ถึงหนึ่งชั่วโมง เกมโอเวอร์?
ยังไม่จบอย่างง่าย ๆ หรอกคุณโยม เลสเตอร์ที่อุตส่าห์นิมนต์พระสงฆ์มาอวยพรก่อนเกม ใช้เวลาอีกชั่วโมงที่เหลือ ไล่กดรวดเดียว 4 ประตูซ้อน แซงชนะด้วยสกอร์มโหฬารถึง 5-3!
นี่เป็นชัยชนะเหนือทัพ “ปีศาจแดง” ครั้งแรกนับตั้งแต่ปี 1998 หรือเมื่อ 16 ปีก่อน แม้ส่วนหนึ่งยังฉงนกับคำตัดสินของ มาร์ค แคล็ทเท่นเบิร์ก ไม่ว่าจะเป็นประตูแรกที่บอลออกหลัง ก่อนวาร์ตี้เปิดเข้ากลาง หรือประตูที่ 2 ที่วาร์ตี้แทกราฟาเอลกระเด็นกระดอน และมันเป็นการฟาวล์อย่างชัดเจน
กระนั้น ส่วนหนึ่งยกเครดิตให้ผู้เล่นเลสเตอร์ด้วย โดยเฉพาะเด็กเก่าผีอย่าง ริทซี่ เดอ เลต แบ็กขวาจอมลุยที่เติมเกมได้สะเด็ดสะเด่าดีแท้ รวมถึง แดนนี่ ดริงค์วอเตอร์มิดฟิลด์ห้องเครื่อง และอาจรวม แคสเปอร์ ชไมเคิ่ลล ลูกชายของปีเตอร์ “เดอะ เกรต” ตำนานยูไนเต็ดคนนั้น
เลโอนาร์โด้ อูยัว ศูนย์หน้าอาร์เจนไตน์ เจ้าของค่าตัว 7 ล้านปอนด์ ตอบแทนทีมอย่างคุ้มค่า ด้วยผลงาน 5 ประตู (เป็นรองแค่คอสต้า) 2 เม็ด ในเกมนี้บวกกับการยิงทีมใหญ่อย่างอาร์เซน่อลและเอฟเวอร์ตัน พิสูจน์แล้วว่าหมอนี่ไม่ธรรมดา
ฝั่งยูไนเต็ด ผู้เล่นแนวรุกต่างทำผลงานได้เยี่ยม ราดาเมล ฟัลเกา เป็นตัวจริงนัดแรก และส่อเค้าไปได้สวยสำหรับชีวิตใหม่ในเกาะอังกฤษ ทั้งชั้นเชิงและการเปิดป้อนให้ โรบิน ฟาน เพอร์ซี่ ทำประตู ขณะที่ อังเดล ดิ มาเรีย โดดเด่นเหลือเกินในการปั้นเกม แถมยังซัดประตูอย่างเหนือชั้นได้อีก
แต่ปัญหาของ หลุยส์ ฟาน กัล และเหล่าสตาฟฟ์คือแนวรับ แม้เปลี่ยนมาใช้ 4 กองหลัง แต่พวกเขายังอ่อนปวกเปียกเหมือนเดิม ราฟาเอลยังเข้าทำพรวดพรวดขณะที่อีกฝั่ง มาร์กอส โรโฮ หลุดตำแหน่งหลายครั้งคู่เซนเตอร์ ไทเลอร์ แบล็ตเก็ตต์ ยังอ่อนเชิง จนนำมาสู่ใบแดงและจุดโทษ
ผ่าน 5 เกมแรก ยูไนเต็ดจึงมีเพียง 5 แต้มในมือ และเมื่อเทียบกับฤดูกาลที่แล้ว ผีแดงยุค ฟาน กัลผลานงานแย่กว่าสมัย เดวิด มอยส์ เสียอีก!
อารมณ์ผิดหวังไม่ต่างกับ “หงส์แดง” ที่ไม่กี่เดือนกว่า ยังเกือยคว้าแชมป์ลีกอยู่เล่น แต่เพียง 5 นัดแรกของซีซั่น ลิเวอร์พูลกลับพุ่งชนความพ่ายแพ้เป็นเกมที่ 3 ซะแล้ว
แนวรับหลวมโครกและไว้ใจไม่ได้ มีอย่างที่ไหน 7 นาทีแรกเสียถึง 2 ประตู ขณะที่ ซิมง มิโญเลต์ ไม่เหลือคราบไคลจอมหนึบในปีที่แล้ว หลังบ้านอ่อนแล้ว กลางกลวง ขณะที่กองหน้า เอ่อ…ฟาบิโอ บอรินี่ ลงไปทำซากอะไรครับ
รูปโฉมแนวรุกที่ได้มือชั้นเซียนอย่าง หลุยส์ ซัวเรซ แล แดเนียล สเตอร์ริดจ์ ซึ่งขยันตัวเป็นกรด และไล่กดดันคู่แข่งอยู่ตลอดในฤดูกาลที่แล้ว กลายเป็นของหายากในปีนี้ และนั่นทำให้เกมของลิเวอร์พูลโดนเจาะอย่างง่ายดาย
ยูไนเต็ดโดนเด็กเก่าเล่นงาน เช่นเดียวกับหงส์ที่เสียท่าให้ สจ๊วร์ต ดาวนิ่ง ที่มีส่วนทั้งประตูแรกและลูกปิดท้าย และนั่นคือสาเหตุแห่งความป่นปี้ของทีมในสัปดาห์ที่ผ่านมา
ขณะที่เพื่อนบ้าน เอฟเวอร์ตัน พลิกพ่าย คริสตัล พาเลซ คารังอย่างเหลือเชื่อ 2-3 ไม่ต่างกับสเปอร์สที่โดนเวสต์บรอมวิชบุกมาอัด 1-0
มีเพียง “ไอ้ปืนใหญ่” ที่ติดเครื่องเทอร์โบ หลังบุกต้อนทีมจอมเหนียวอย่าง แอสตัน วิลล่า ด้วยสกอร์ถล่มทลายถึง 3-0 ด้วยการปิดเกมใน 192 นาที!
เมซุต โอซิล รับบทบาทเพลย์เมกเกอร์หลังศูนย์หน้า และทำ 1 ประตูปิดหัว ตามด้วยลูกเบิกร่องในคราบกันเนอร์ แดนนี่ เวลเบ็ค ก่อนได้รับอาริสงค์จากปลายสตั๊ดของ อาลี ซิสโซโก้ เป็นอันปิดเกมโดยสมบูรณ์
ทางด้าน “สาลีกาดง” นิวคาสเซิ่ล ยูไนเต็ด แม้ตามตีเสมอ ฮัลล์ ซิตี้ 2-2 จากการคัมแบ็กสุดหรูของปาปิสส์ ซิสเซ่ แต่สถานการณ์ของ อลัน พาร์ดิว ยังไม่กระเตื้อง วิกฤตศรัทธาถาโถม และยังไม่รู้ว่า ชะตาจะขาดเมื่อไหร่?
บางที อาจไม่ถึงสุดสัปดาห์