เวย์น รูนี่ย์ ประวัติศาสตร์ยังไม่สิ้นสุด
สวัสดีครับเพื่อนๆนักแทงบอลหรือแทงบอลออนไลน์ทุกๆคนครับ ในที่สุดประวัติศาสตร์ก็เกิดขึ้นอีกครั้ง และครั้งนี้มันเกิดขึ้นท่ามกลางสายตาที่จับจ้องหลายล้านคู่จากทั่วทุกมุมโลก เพราะมันเป็นประวัติศาสตร์ครั้งใหม่ของทีมชาติอังกฤษ ยอดทีมขวัญใจมหาชน
เวย์น รูนี่ย์ ได้กลายเป็นดาวยิงสูงสุดคนใหม่ของทัพ “ทรี ไลออนส์” เป็นที่เรียบร้อย หลังจากรกะทุ้งได้อีกหนึ่งประตูในเกมยูโร 2016 รอบคัดเลือก นัดที่เอาชนะสวิตเซอร์แลนด์ 2-0
ประตูจากจุดโทษในช่วงท้ายเกมดังกล่าว ทำให้ “วาซซ่า” มียอดรวมทำประตูในนามทีมชาติอังกฤษสุทธิ 50 ประตู จากการลงสนาม 107 เกม แซงหน้า เซอร์ บ็อบบี้ ชาร์ลตัน เจ้าของสถิติ 49 ประตูไปแล้ว
ศูนย์หน้าจากค่ายแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ใช้เวลา 12 ปี ในการสร้างประวัติศาสตร์ครั้งดังกล่าว นับตั้งแต่ประเดิมสนามให้กับทีมชุดใหญ่ของอังกฤษเมื่อปี 2003
รูนี่ย์เบิกสกอร์แรกในเกมกับมาชิโดเนีย เมื่อกันยายน 2003 และด้วยวัยเพียง 17 ปี กับอีก 317 วันทำให้เขากลายเป็นนักเตะอายุน้อยที่สุดที่ยิงให้กับอังกฤษ หลังจากนั้น หมูรูนก็ไม่เคยหยุดยิงอีกเลย และได้ร่วมทัวร์นาเมนต์ใหญ่ทั้งยูโรและฟุตบอลโลกอย่างละ 3 ครั้ง
เป็นค่ำคืนที่กองหน้าจากคร็อกซ์เทธจะไม่มีวันลืมเลือนอย่างแน่นอน เพราะหลังจากที่ส่งบอลจากจุดโทษเข้าไปตุงตาข่ายเป็นการปิดเกมเมื่อวันอังคารแล้ว ทั้งแฟนบอลและเพื่อนร่วมทีมในเวมบลีย์ต่างพร้อมใจกันลุกขึ้นยืนทำการสแตนติ้งโอเวชั่น ให้กับความสำเร็จในครั้งนี้
“ผมซาบซึ้งมากๆ หลังจากยิงได้ มันเป็นเกียรติอย่างสูงเลย ผมภูมิใจมากๆ ผมแฮปปี้มากที่ทำมันสำเร็จ และผมก็อยากจะเป็นหน้าทำประตูต่อไป ผมต้องการสมาธิกับการทำงานเป็นทีม และหวังว่าเราจะประสบความสำเร็จในรูปแบบของถ้วยรางวัลในอนาคต”
“แน่นอนว่าผมกังวลกว่าปกติ เพราะมันเป็นช่วงเวลาที่ยิ่งใหญ่ ผมแค่เลือกมุมยิงแล้วสาวเท้าก้าวไปซัดมันด้วยกำลังมากพอที่ผมคิดว่ามันเกินกำลังป้องกันของผู้รักษาประตู นี่คือช่วงเวลาที่ดีที่สุดสำหรับผม เพราะการได้เป็นดาวซัลโวสูงสุดทีมชาติอังกฤษตั้งแต่อายุไม่ถึง 30 ปี เป็นอะไรที่เหลือเชื่อมาก”
“ผมต้องขอบคุณทีมงานโค้ช, เพื่อนร่วมทีม และสตาฟฟ์ที่ผมเคยร่วมงานมาตลอดอาชีพค้าแข้ง นี่คือช่วงเวลาที่ยิ่งใหญ่สำหับผมและครอบครัว ผมอยากทำประตูต่อไปเรื่อยๆ ทีมของเรามีอนาคตที่ดี ด้วยนักเตะดาวรุ่งชั้นยอดอย่าง แฮร์รี่ (เคน), รอสส์ (บาร์คลี่ย์) , ราฮีม (สเตอร์ลิง) พวกเขาจะสามารถทำได้อย่างผมและอาจไปไกลกว่าผม ผมดีใจมากที่มีวันนี้ มันมีความหมายกับผมมากๆ ขอบคุณจริงๆ” รูนี่ย์ เอ่ย
ขณะเดียวกัน เซอร์-บ็อบบี้ ชาร์ลตัน คนที่เพิ่งเสียตำแหน่งที่ครองมานานกว่า 45 ปี ให้กับกองหน้ารุ่นน้องทั้งทีมชาติอังกฤษและสโมสรแมนฯ ยูไนเต็ด กล่าวถึงดาวซัลโวสูงสุดคนใหม่นี้ว่า “ผมขอแสดงความยินดีกับเวย์นด้วย ที่ได้กลายเป็นดาวซัลโวสูงสุดคนใหม่ของอังกฤษ”
“ผมภูมิใจมากๆ ตลอดเวลาที่ครองสถิตินี้ การได้เล่นให้กับทีมชาติเป็นเกียรติกับผมเสมอและผมก็ภูมิใจมากๆ ผมไม่สามารถปฏิเสธได้ว่ารู้สึกผิดหวังที่ตอนนี้ไม่ได้เป็นเจ้าของสถิตินั้นแล้ว แต่ผมก็ยินดีที่ตนทำลายสถิติคือเวย์น ซึ่งเป็นกัปตันของทั้งทีมชาติและสโมสรอันเป็นที่รักของผม”
“ในนามของตัวผมและแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ผมขอร่วมแสดงความยินดีกับเวย์น นี่คือช่วงเวลาที่น่าภาคภูมิใจสำหรับเขาและครอบครัว ผมเชื่อว่าเขาจะครองสถิตินี้ไปอีกนานแสนนาน และแน่นอนว่าเขายังมีเวลาอีกมากที่จะยิงให้กับทีมชาติและสโมสรของตัวเอง” ปู่บ็อบในวัย 77 ปี กล่าว
หลังการทำลายสถิติดังกล่าว บรรดาสื่อในอังกฤษไม่พ้นที่จะขุดคุ้ยสถิติของคุณพ่อน้องเคลย์และไคมาเปรียบเทียบกับกองหน้ารุ่นพี่ทีมชาติอังกฤษรายอื่นๆ
มีการตั้งข้อสังเกตว่า สาเหตุที่รูนี่ย์สามารถทำลายสถิติของปู่บ็อบได้นั้น เป็นเพราะเขาชอบยิงคู่แข่งที่ต่ำชั้นกว่ากันเยอะ หลังยิงทีมที่อยู่ในกลุ่มท็อป 10 ของอันดับฟีฟ่าได้เพียง 3 ประตู จากการดวลกัน 14 เกม โดยทีมที่รูนี่ย์สอยตาข่ายได้มากที่สุดก็คือซานมารีโน โดนซัดไปแล้ว 5 ประตู
ที่ผ่านมา มีดาวยิงเลือดผู้ดีเพียง 5 คนเท่านั้นที่ยิงให้กับทีมชาติได้เกิน 40 ประตู ซึ่งก็ได้แก่ เวย์น รูนี่ย์, เซอร์ บ็อบบี้ ชาร์ลตัน, แกรี่ ลินิเกอร์, จิมมี่ กรีฟส์ และ ไมเคิ่ล โอเว่น
บีบีซีได้ทำการจำแนกประตูที่ดาวยิงเหล่านั้นทำได้เป็น 3 ประเภทด้วยกัน คือ ประตูที่เกิดขึ้นในเกมรอบคัดเลือกของทัวร์นาเมนต์ใหญ่, เกมกระชับมิตร และเกมรอบสุดท้ายของทัวร์นาเมนต์ใหญ่
ปรากฏว่าดาวยิงในยุคก่อนอย่าง เซอร์ บ็อบบี้ ชาร์ลตัน และ จิมมี่ กรีฟส์ ยิงรวมกันในเกมหัวนาเมนต์สำคัญเพียง 6 ประตู และ 9 ประตู ในรอบคัดเลือก โดยประตูของเขาทั้งสองส่วนใหญ่ (83-87%) เกิดขึ้นในเกมกระชับมิตร
ต่างกับในยุคโมเดิร์นนี้ที่การทำประตูส่วนใหญ่เกิดขึ้นในเกมรอบคัดเลือกเสียมากกว่า โดยที่ 20 จาก 40 ประตูของ ไมเคิ่ล โอเว่น และ 30 จาก 50 ประตู ของเวย์น รูนี่ย์เกิดขึ้นในการแข่งขันรายการดังกล่าว
แกรี่ ลินิเกอร์ ผู้รับรางวัลดาวยิงสูงสุดในฟุตบอลโลก 1986 เป็นแข้งสิงโตคำรามที่ยิงประตูในรายการเมเจอร์ได้มากที่สุดด้วยผลงาน 10 ประตู จากการลงเล่นฟุตบอลโลก 2 สมัย
เมื่อนำมาเทียบกับผลงานของรูนี่ย์แล้ว ดาวยิงรุ่นน้องยังดูเป็นรองหลายช่วงตัว
หลังจากที่ยิง 2 ประตูใส่ โครเอเชีย และ สวิตเซอร์แลนด์ ในยูโร 2004 ที่โปรตุเกส รูนี่ย์ก็ยิงในทัวร์นาเมนต์เมเจอร์ได้อีกเพียง 2 ประตูเท่านั้น คอืประตูชัยเอาชนะยูเครน 1-0 ยูโร 2012 และสกอร์ที่ทำได้ในเกมพ่ายอุรุกวัย 1-2 ฟุตบอลโลก 2014 ซึ่งนั่นเป็นประตูแรกและประตูเดียวที่เจ้ารูนยิงได้ในเวิลด์ คัพ ด้วย
อย่างไรก็ตาม แม้ว่าตัวเลขสถิติที่ผ่านมาจะไม่ค่อยเสริมส่งให้ เวย์น รูนี่ย์ เหมาะกับตำแหน่งยอดแข้งประวัติศาสตร์วงการฟุตบอลอังกฤษ แต่ก็ต้องยอมรับว่านี่คือฟันเฟืองสำคัญที่ รอย ฮ็อตจ์สัน จะขาดไปไม่ได้เลย
อิทธิพลที่เขามีในฐานะกัปตันทีมสามารถสร้างแรงกระตุ้นให้กับบรรดาแข้งรุ่นใหม่ มากขนาดที่ แฮร์รี่ เคน กองหน้ารุ่นน้องจากท็อตแน่ม ฮ็อตสเปอร์ ออกมาบอกว่า เขาพยายามเรียนรู้จากแนวทางการเล่นของพ่อหนุ่มเวย์น
เวย์น รูนี่ย์ เป็นหนึ่งในนักเตะที่ยอดเยี่ยมที่สุดในยุคของเขาและเชื่อเหลือเกินว่าเขาจะไม่หยุดสถิติไว้เพียง 50 ประตูอย่างแน่นอน และเหนือสิ่งอื่นใด ต้องขอกล่าวคำว่า
ยินดีด้วยครับ เวย์น……….