แชมป์เก่าเละตุ้มเป๊ะ
สวัสดีครับเพื่อนๆนักแทงบอลหรือแทงบอลออนไลน์ทุกๆคน วันที่สองของฟุตบอลโลก 2014 ผ่านพ้นไปด้วยหลากหลายรสชาติ
เพียงแค่สกอร์ 5-1 ในเกมที่ สเปน พ่ายให้กับฮอลแลนด์ ก็ทำเอาแฟนบอลงงเป็นไก่ตาแตกว่ามันเกิดอะไรกันขึ้น
สองทีมนี้คู่ชิงชนะเลิศเมื่อ 4 ปีที่แล้ว และการเจอกันครั้งนี้ได้รับการคาดหมายว่าจะออกมาสนุกสูสีเหมือนเดิม ใช่ เกมนี้สนุกจริงๆแต่คงเป็นฝั่งอัศวินสีส้มฝั่งเดียวที่สนุกเต็มเหนี่ยวฝ่ายเดียว ปล่อยให้ขุนพลกระทิงเดินเขาตกออกจากสนาม
ก่อนที่จะลงรายละเอียดคู่บิ๊กแมตซ์คู่นี้ขอกล่าวถึงคู่ที่เตะจบกันก่อนในกลุ่ม เอ
เม็กซิโก ประเดิมสนามด้วยการเก็บชัยชนะไปได้ตามคาดแต่กว่าจะเจาะตาข่าย แคเมอรูน ได้สำเร็จก็ทำเอาเหนื่อยจนลิ้นแทบห้อย
ถือว่าเทพีแห่งโชคยังเข้าข้างเม็กซิโก และด้วยความพยายามของนักเตะในที่สุดพวกเขาก็ปลดล็อกจากการวิ่งไปซ้ำของ โอริเบ เปรัสต้า
คนที่น่าเสียดายคงหนีไม่พ้น โจวานี โดส ซานโตส แมน ออฟ เดอะ แมตช์ประจำเกมนี้
ขุงพลจังฌโก้ส่งบอลเข้าไปซุกตาข่ายได้ถึงสองครั้งสองครา ทว่า กลับโดนปฎิเสธโดยไลน์แมนคนเดียวกันถึงสองครั้ง
แฟนบอลที่ชมผ่านหน้าจอโทรทัศน์คงได้เห็นภาพช้าไปหลายรอบแล้ว และคงทรรศนะต่างๆ กันไป
ลูกแรกที่โจวานี โดส ซานโตส ซัดเข้าไปหากมองตามเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นก็ถือว่าก้ำกึ่งและไลน์แมนเองก็มีเวลาเพียงไม่ถึงวินาทีในการตัดสิน ตรงนี้ยังพอเข้าใจได้
ต่าลูกที่สองนี้สิ มันไม่น่าล้ำหน้าอย่างแน่นอนเพราะจากจังหวะเปิกลูกเตะมุมเข้ามาแล้วผู้เล่นทีมหมอผีโขกเช็ดเข้ามาทาง โดส ซานโตส โขกเข้าไป ยังไงๆ ก็ไม่มีทางล้ำหน้า
ครั้งนี้ไลน์แมนรับผิดชอบเต็มๆ
เป็นอีกหนึ่งเกมที่ทีมงานผู้ตัดสินโดนโจมตีอย่างหนัก เพราะเกมนัดเปิดสนามก็มีเรื่องมีราวกันมาแล้วกับจุดโทษของเจ้าภาพที่ค้านสายแฟนบอลทีมอื่ นๆ (ยกเว้นบราซิล)
ถึงจะเป็นที่พูดถึงกันมากมาย แต่หลังจบเกมคนที่ถูกสปอตไลท์ส่องมากที่สุดคือ ราฟาเอล มาร์เกซ กัปตันทีมจอมเก๋าของแม็กซิโก ที่ได้จารึกสถิติเอาไว้ในฟุตบอลโลกหนนี้
การลงสนามในเกมนี้ของ มาร์เกซ สร้างประวัติศาสตร์ อย่างยิ่งใหญ่ด้วยการเป็นนักเตะคนแรกของโลกที่ได้รับบทกัปตันทีมในศึกฟุตบอลโลก สมัย
ย้อนกลับไปในวัย 23 ปีเจ้าหนุ่มมาเกซได้รับโอกาสจาก ฮาเวียร์ อากีร์เร่ ให้สวมปลอกแขนกัปตันทีมลงสู้ฟุตบอลโลก 2002
นับจากนั้นเป็นต้นมา ราฟาเอล มาร์เกซ ยึกปลอกแขนดังกล่าวจนกระทั่งถึงเกมกับแคเมอรูนัดล่าสุด
นอกจากนี้เขายังเป็นนักเตะจากแดนจังโก้ที่ลงเล่นในศึกฟุตบอลโลกมากที่แซงหน้า อันโตนิโอ การ์บาฮัล อดีตผู้รักษาประตูรุ่นพี่ไปแล้ว
นั่นคือสิ่งที่เกิดขึ้นในเกม เม็กซิโก vs แคเมอรูน
ขอคั่นอีกสักเล็กน้อยด้วยเกมที่ ชิลี บด ออสเตรเลีย 3-1
สกอร์ที่เห็นอาจจะดูห่างชั้น แต่หากใครติดตามชมเกมตลอด 90 นาทีต้องไม่เห็นด้วยกับผลที่ออกมา
ช่วง 45 นาทีแรก ชิลี อาจจะทำได้ดีกว่าและได้ประตูนำไปอย่างรวดเร็วหลังผ่านไปถึงครึ่งทางของครึ่งแรก
ทว่า 45 นาทีหลังเป็นฟุตบอลชอคเกอรูส์ที่เดินหน้าจนทำเอา ชิลี เป๋ไปอยู่ช่วงหนึ่ง ซึ่งออสเตรเลียน่าจะตีเสมอได้อย่างสุดๆเมื่อ ทิม เคฮิลล์ สะบัดศีรษะส่งบอลเสียบเสาแรกเข้าไปแต่กลับดดนจับล้ำหน้าไปก่อน
สุดท้าย ฌอง โบเซอซูร์ ยิงปิดกล่องให้ ชิลี เอาชนะไป 3-1 พร้อมกับมอบงานหนักให้กับ ออสเตรเลียในสองเกมที่เหลือ
ปิดท้ายด้วยคู่บิ๊กแมตซ์
อย่างที่เกริ่นไปตั่งแต่เริ่มต้นว่าสกอร์ที่ออกมาของคู่นี้ทำให้แฟนบอลทั้งหลายงงว่าเกิดอะไรขึ้นกับสเปน
ในมุมของ บิเซนเต้ เดล บอสเก้ กุนซือกระทิงดุมองว่าเป็นเพราะสภาพร่างกายที่กรอบแห้งของนักเตะกำลังหลักที่ลงเล่นติดต่อกันมาตลอดทั้งฤดูกาลส่งผลให้ฟอร์มในสนามออกมาไม่ได้ตั้งใจ
เรื่องนี้อาจจะมีส่วน แต่เหตุผลที่ทำให้สกอร์กลับตาลปัตรได้ถึงเพียงนี้คงเป็นเพราะประตูตีเสมอที่มีจากกบาลโรบิน ฟาน เพอร์ซี่ ในท้ายครั้งแรก
จังหวะครอสจากซ้านของ ดาลี่ย์ บลินด์ บอลลอยโค้งไปตรงหน้า “อาร์วีพี” ที่ทะยานลอยตัวมาโขกส้งบอลข้าม อีเก้ร์ กาซียาส เข้าไปแบบเหนือชั้น สมชื่อ “ฟลายอิ้งดัตช์แมน” จริงๆ
นี่คือประตูหนึ่งที่ยอดเยี่ยมที่สุดในฟุตบอลโลกอย่าง
ไม่ต้องสงสัย
ทีสำคัญนี้คือจุดเปลี่ยนและเป็นการเหวี่ยงทุกสิ่งทุกอย่างไปทางฝั่ง ฮออแลนด์!
สอดคล้องการกับการให้สัมภาษณ์ของ หลุยส์ ฟาน กัลป์ ที่ระบุว่าหากไม่มีลูกโขกของโรบิน ทีมของตนอาจจะลำบากกว่านี้ และดีไม่ดีตนอาจจะต้องเปลี่ยนแผนการเล่นเป็นรูปแบบ 4-3-3
แต่เมื่อตีเสมอได้ทุกอย่างกลับมาเหมือนเดิมยิ่งไปกว่านั้นดูเหมือนกว่ากำลังใจและพลังแฝงของนัดเตะดัตช์จะถูกปลุกขึ้นมาด้วย
จะเห็นได้ชัดว่าพอลงมาเล่นกันต่อในครึ่งหลังขุนพลอัศวินสีส้มเปิดเกมแรกและแซงนำจาก อาร์เยนร็อบเบน
การเข้าทำจังหวะนี้ก็ไม่มีอะไรมาก ดาลี่ย์ บลินด์ คนเดิม ครอสจากซ้านมาเข้าทางร็อบเบนที่เกี่ยงลงแบบเวิลค์ลาสก่อนจะเตะผ่านเคราร์ด ปีเก้ แล้วกระแทกบอลเกี่ยวตาข่าย
สเปน พยายามอย่างหนักในการที่จะเอาคืนแต่กลับมาโดนลูกที่สามและสี่ ซึ่งลูกที่สี่นี้ต้องโทษกาซียาสเต็มๆที่ดันไปล็อกแบบนั้นเลยโดน ฟาน เพอร์ซี่ย์ ที่ได้รางวัลนักเตะยอดเยี่ยมนัดนี้ไปครองลงโทษแบบสาสม
อ้อ! จะว่าไปกระทิงดุก็เกือบจะได้ประตูที่สองเหมือนกัน ถ้าหากว่า เอ่อ….เฟร์นานโด ดอร์เรส ไม่ไปทำหมูหกหน้าเขตโทษ (อีกแล้ว)
สิ้นเสียงนกหวีด อัศวินสีสิส้มได้เฮอย่างเริงร่าพร้อมชำระแค้นอย่างทบต้นทบดอก ปล่อยให้ขุนพลกระทิงเดินเขาตกออกมาจากสนามอย่างเงียบๆ
มองในอีกมุมมันก็แค่เกมที่ผ่านพ้น ทุกทีมต้องกลับมาเริ่มต้นใหม่ในนัดต่อไป แต่เรื่องของกำลังใจต้องตามกันต่อจะส่งผลต่อขุนพลกระทิงดุมากน้อยเพียงใด
ทั้งยังมีกระแสข่าวมาให้ เดล บอสเก้ เปลี่ยนทีมยกชุดในเกมที่จะเจอกับชิลีในนัดต่อไป ซึ่งจุดนี้ต้องช่างใจกุนซือว่าจะคล้อยตามหรือไม่
ยิ่งเกมนัดต่อไปคือ ชิลี และเป็นเกมที่สเปนพลาดไม่ได้ด้วยประการทั้งปวง (แค่เสมอก็ถือว่าแย่)
ก่อนจะถึงวันนั้นยังมีเวลาให้ตัดสินใจ
โดยช่วงเวลาที่รอเกมที่สองมาถึงแฟนบอลสเปนคงต้องไปนั่งร้องเพลงปลอบใจตัวเอง
“ละตุ้มเป๊ะ ละละเละตุ้มเป๊ะ ละเละตุ้มเป๊ะละละละเละตุ้มเป๊ะ ละละละตุ้มเป๊ะ ละละละตุ้มเป๊ะละละเละตุ้มเป๊ะ ละละเละตุ้มเป๊ะ”
ส่วนผมก็เละตุ้มเป๊ะ เพราะเล่นสเปนไปซะเยอะเลย เฮ้อ~!!