ครบแปดอรหันต์ฟุตบอลโลก
สวัสดีครับเพื่อนๆนักแทงบอลหรือแทงบอลออนไลน์ทุกๆคนครับ
สำหรับ ฟุตบอลโลก 2014 เดินทางมาครบ 3 สัปดาห์และได้สมาชิกครบถ้วนพร้อมหน้าพร้อมตาเพื่อโซ้ยแข้งต่อในรอบก่อนรองชนะเลิศ
โดยเมมเบอร์ 2 ชาติสุดท้าย ยังคงเป็นไปตามเทรนด์ฮิต ยอดนิยม ด้วยการตบเท้าเข้ารอบของทีมที่จบรอบแรกในฐานะแชมป์กลุ่ม
แต่กว่าที่อาร์เจนตินาและเบลเยี่ยมจะได้เฮโลฉลองชัยชนะก็ต้องรอให้เมตซ์แรสที่สุดหฤโหด 120 นาทียุติลงเสียก่อน
ทัพฟ้า-ขาวภายใต้การกุมบังเหียนของ อเลฮาน โคร ซาเบย่า เก็บชัยร้อยเปอร์เซ็นต์ทั้ง 3 นัดในกลุ่มเอฟและยังยึดตำแหน่งเต็ง 2 ที่จะคว้าแชมป์โลกอย่างต่อเนื่องซึ่งการ เผชิญหน้ากับสวิตเซอร์แลนด์ อันดับ 2 ของกรุ๊ปอีผู้สันทัดกรณีทั้งหลายต่างยกให้ อาร์เจนตินาเหนือกว่าเยอะโดยเฉพาะการมี ลิโอเนล เมสซี่ สตาร์กัปตันทีมเป็นตัวชูโรงและผลงานร้อนแรงต่อเนื่องด้วยผลงานสอย 4 ประตูจากรอบแรก
แน่นอนว่า เมสซี่ยังเป็นหัวใจสำคัญในการขับเคลื่อนแนวรุกฟ้า-ขาว แต่โดนสวิสจำกัดอิสรภาพในการเล่นเพราะบีบเร็วไม่ปล่อยให้อดีตแข้งบัลลง ดอร์ 4 สมัย มีพื้นที่และเวลาเลยจริงๆ ถึงพยายามลงมาล้วงบอลต่ำหรือขยับฉีกริมเส้นสองข้างก็ไม่สามารถสำแดงพิษสงใดๆ
แนวรุกที่ส่ง เอเซเกล ลาเวซี่ แทน เซร์คิโอ อเกวโร่ “กุน” แทบไม่มีอะไรแตกต่าง เนื่องจากบอลจังหวะสำคัญๆ มักไกลตัวของดาวเตะจากเปแอสเช และส่วนใหญ่ก็ไปสะดุดที่ อังเดล ดิ มาเรีย ปีกเรอัล มาดริด ซึ่งทำบอลเสียถึง 51หน
แต่มันก็เข้าข่ายตลกร้ายในท้ายที่สุดเมื่อ ดิ มาเรีย กลายเป็นฮีโร่ของชาวอาร์เจนไตน์ ด้วยการสังหารประตูโทนผ่านมือนายทวาร ดีเอโก้ เบนาโญ่ และปลิดชีพสวิสได้สำเร็จ
ส่วนคนที่สมควรได้รับเครดิตจากชอตนี้ย่อมหนีไม่พ้นเมสซี่ ในฐานะผู้จุดชนวนและทลายแนวรับนาฬิกาจนระส่ำระส่าย ก่อนใส่พานให้ ดิ มาเรีย วิ่งเข้าไปแปได้อัตโนมัติไม่ต้องเสียเวลาปรับแต่งใดๆ เลย
ประตูของดิ มาเรีย เกิดขึ้นนาทีที่ 118 และกลายเป็นลูกยิงที่เกิดขึ้นช้าสุดของ อาร์เจนตินาในศึกฟุตบอลโลก
ทว่าสาวกฟ้า-ขาวก็หวิดหัวใจวาย เพราะทางสวิสน่าจะตีเสมอได้จากฟรีคิกของ เซอร์คาน ชาริกี่ เปิดให้ตัวสำรอง เบลริม เชไมลี่ เทกตัวโขกคนเดียวไปชนเสา และเด้งมาโดนขาของเขาอีกครั้ง แต่กลับหลุดกรอบอย่างน่าเสียดาย
แล้วนั่นก็ทำให้สวิตเซอร์แลนด์ยังบอดสกอร์ต่อเนื่องในรอบน็อกเอ้าต์ เวิลด์ คัพ เป็นนัดที่ 3 ติดต่อกัน โดยหนล่าสุดทำได้ในปี 1954 ที่พวกเขาเป็นเจ้าภาพนั่นเอง
ขณะเดียวกัน อาร์เจนตินาก็กลายเป็นชาติที่ชอบเล่นเกมยืดเยื้อไปซะแล้ว เมื่อชนะถึง 6 จาก 7 เกมฟุตบอลโลกที่ต้องมีการต่อเวลาพิเศษ และอาจได้ท้าทายความสามารถทำนองนี้อีกในรอบๆต่อไปเพื่อกรุยทางสู่บัลลังก์แชมป์เวิลด์ คัพ สมัย 3
แต่ที่แน่นอนคือรอบต่อไป กุนซือซาเบย่าจะต้องปรับหมากหาจุดลงตัวในตำแหน่งแบ็กซ้าย เมื่อ มาร์กอสโรโฆ จะติดโทษแบน หลังสะสมใบเหลืองครบโควตา
ส่วนขุมกำลังอื่นๆ ก็ต้องสร้างผลงานให้แกร่งขึ้นตามมาตรฐานของคู่กรด่านต่อไปอย่างเบลเยียม
“ปีศาจแดงแห่งยุโรป” ในคอนโทรลของ มาร์ค วิลม็อดส์ กลายเป็นชาติสุท้ายที่คว้าตั๋วควอเตอร์ไฟนัลของมหกรรมลูกหนัง บราซิล 2014
แล้วเป็นอีกครั้งที่เบลเยียมต้องพึ่งพาบรกการล้ำเลิศจากแข้งสำรอง และสกอร์ของ โรเมลู ลูกาลู ก็กลายเป็นประตูที่ 4 ของเล่าซูเปอร์ซับจาก 6 ลูกในเวิลด์ คัพ หนนี้
ความจริงแล้วทีมของวิลม็อดส์ดีกว่าไม่น้อย เมื่อพิจารณาตามรูปแบบและโอกาสลุ้นเข้าทำ ซึ่งน่าจะเกบิลสิ้นซากตั้งแต่เวลาปกติ
แต่ทัพยูเอสเอก็เหนียวแน่นเหลือเกิน โดยเฉพาะ ทิม ฮาวเวิรด์ มีอกาวจอมหนึบที่ระเบิดฟอร์มเซฟตลุดและกลายเป็นวถิติใหม่ของฟุตบอลโลก ซึ่งสามารถขยายความส่องรายละเอียดกันในพื้นที่ล้อมกรอบโฟกัสพิเศษนะครับ
เจอร์เก้น คลิ้นส์มันน์ กุนซือเมด อน เยอรมันของแยงกี้ เต็มไปด้วยเรื่องน่าปวดหัวในการจัดทีม เพราะอย่าง ไคล์ เบ็คเกอร์แมน มิดฟิลด์ตัวรับก็ล้าและกรอบจากการกรำศึกหนัก 3 นัดในรอบแรก เลยต้องพักพร้อมขยับเจฟฟ์ คาเมรอน มาเล่นเป็นกองกลางตัดเกมคู่กับ เจอร์เมน โจนส์
ท่านั้นยังไม่พอแค่คครึ่งชั่วโมงเศษๆ ฟาเบียนจอห์นสัน แบ็กขวาจอมลุยที่วิ่งสู้ฟัดได้ตลอดก็ตันเครื่องช๊อตบาดเจ็บเล่นไม่ไหวและต้องให้ ดีอันเดร เยดลิน ลงแทน ซึ่งขีดความสามารถแตกต่างพอสมควร
หลังผ่าน 90 นาทีอันว่างเปล่าบนสกอร์บอร์ดวิลม็อตส์ส่งลูกา ลงแทน ดิว็อค โอริซี่ และแผลงฤทธิ์ทันทีในช่วงที่ยูเอสเอตั้งตัวไม่ติด เมื่อหลุดกระชากไปทางขวาแล้วเปิดเข้ากลาง ถึงโดนสกัด แต่ยังมาเข้าทาง เควิน เดอบรอยน์ แตะหาที่ว่างหนึ่งจังหวะ และซัดเรียดเสียเสาไกลหมดจด
ก่อนที่ เดอ บรอยน์ จะตอบแทนอดีจเพื่อนร่วมสังกัดเซลซีด้วยการไหลให้ลูกากู ตะบันด้วยซ้ายสะเทือนตาข่าย
เหลืออีก 15 นาทีและตามหลัง 2 ประตู ใครๆ ต่างเชื่อว่า สหรัฐอเมริกาคงถอดใจยอมแพ้
แล้วการปรากฏตัวของ จูเลี่ยน กรีน ไอ้หนูวัย 19 ก็ทำให้คนที่มีไอเดียแบบนี้รู้สึกว่า “คิดผิด” เพราะเพียงสัมฟัสแรกในฟุตบอลโลกของเขากลายเป็นประตูตีไข่แตกและจุดประกายความหวังทัพมะกันให้ลุกโชน
โมเมมตัมของเกมพลิกผันทันทีหลังสกอร์ของกรีน และคลิ้นส์ซี่ก็กระตุ้นลูกทีมให้ฮึดสู้ด้วยสปิริตเกินร้อย จนแนวรับเบลเยียมปั่นป่วนไม่น้อยเลยทีเดียว
ตลอดเมตซ์ สหรัฐฯ มีโอกาสทำสกอร์ 17 ครั้งและ 7 หนในจำนวนนั้นเกิดในครึ่งหลังของช่วงต่อเวลาพิเศษนี่เอง
อย่างไรก็ตามจนแล้วจนรอด ไม่มีอเมริกันฮีโร่คนไหนมาช่วยให้ทัพแยงกี้รอดพ้นความพ่ายแพ้และต้องยุติเส้นทางแค่นี้
ในทางตรงกันข้าม เบลเยียมในยุคโกลเดนเจอเนอเรชั่น ก็ผงาดเข้ารอบ 8 ทีมสุดท้ายฟุตบอลโลกได้เป็นครั้งแรกในรอบ 28 ปี
อาร์เจนตินา กับ เบลเยียม เคยปะทะแข้งกัน 2 ครั้งในฟุตบอลโลก
โดยหนแรกเกิดขึ้นในปี 1982 ที่ปาร์เซโลน่า ประเทศสเปน และเป็ฯปีศาจแดงยุโรปพลิกล็อกหักปากกาเซียนชนะ “แชมป์ 1978” 1-0 ตั้งแต่นัดเปิดสนาม
แต่ 4 ปีถัดมา ดีเอโก้ มาราโดน่า ก็นำทัพฟ้า-ขาว ล้างแค้นทบต้นทบดอกด้วยการเหมาคนเดียว 2 เม็ดน็อกเบลเยียมร่วงรอบคัดเลือกและปูพรมคว้าแชมป์เวิลด์ คัพ อย่างยิ่งใหญ่
5 ก.ค. นี้ ทั้งสองชาติจะโคจรมาพบกันอีกครั้งในแมตซ์ที่มีตั๋วรอบรองชนะเลิศเป็นเดิมพัน
เหลือ 8 ชาติ แต่จะมีแค่หนึ่งเดียวเท่านั้นที่ได้ครอบครองบัลลังก์ฟุตบอลโลก
ส่วนจะเป็นใคร รอลุ้นกันด้วยใจระทึกกับไคลแมกศ์ละลานตาใน 8 เกมสุดท้ายที่เหลืออยู่