ดีหรือแย่…ขอแค่ชนะ
สวัสดีครับเพื่อนๆนักแทงบอลหรือแทงบอลออนไลน์ทุกๆคนครับ เหนือฟ้ายังมีฟ้า เหนือมูริญโญ่ยังมีพาร์ดิว!
สถิติไร้พ่ายอันยืนยง 23 เกมในทุกรายการ (และแน่นอนว่า 14 เกมพรีเมียร์ลีกซีซั่นนี้ย่อมถูกนับรวมในนั้น) ของเชลซีเป็นยุติลงที่สังเวียนเซนต์ เจมส์ พาร์ค นี่คือสังเวียนนรกของเหล่าสิงห์บลูส์
หลบหน่อยพระเอกมา…ปาปิสส์ เดมบา ซิสเซ่ ศูนย์หน้าจอมปราดเปรียวกลายเป็นฮีโร่ของ “สาลิกาดง” ด้วย 2 ประตูแบบเหมาเข่ง แม้ในช่วง 10 นาทีสุดท้ายอาจต้องลุ้นระทึก ทั้งการเหลือผู้เล่นแค่ 10 คน และการโดนดิดิเย่ร์ ดร็อกบา ตีไข่แตก แต่นั้นไม่เพียงพอสำหรับการต่อวีซ่า “ไร้พ่าย” ของเศรษฐีน้ำเงินแห่งเมืองหลวง
“พวกนั้นเอาแต่อุด!” เสียงรำพึงอันคุ้นเคยจากกุนซือโปรตุกีส ยามทีมเจอแท็กติกของบอลรอง และไม่อาจทำลายทำนบคู่แข่งได้ แต่ประทานโทษเหอะ อลัน พาร์ดิว และลูกทีมได้รับการชูมือ
3 นัดหลังสุด เชลซีได้แค่ 4 แต้ม แหม… รสชาติพรีเมียร์ลีกฤดูกาลนี้ แซบขึ้นอีกเป็นกอง
ฝั่งผู้ไล่ล่าอย่าง แมนฯ ซิตี้ ใจหายวาบอย่างแรง หลังสูญเสีย เซร์คิโอ อเกวโร่ “กุน” ดาวยิงอาร์เจนไตน์ที่เจ็บหัวเข่า ล้มคะมำตั้งแต่ไม่กี่นาทีแรกของเกมที่เปิดบ้านรับมือเอฟเวอร์ตัน
แน่นอน จุดโทษของ “เรือใบสีฟ้า” นั้นไม่สมเหตุสมผลแต่อย่างใด จังหวะปะทะของ ฟิล จากีลก้า กับเจมส์ มิลเนอร์ ไม่ควรถูกเป้าเป็นลูกฟาวล์ นั่นเป็นความโชคร้ายของเอฟเวอร์ต้น และ ยาย่า ตูเร่ ไม่พลาดเมื่อโอกาสทองมากองตรงหน้า 3 แต้มเต็มช่วยให้ซิตี้เบียดกระชั้นเหลือแค่ 3 แต้มเท่านั้น
มาถึงตรงนี้ บางทีเก้าอี้จ่าฝูงอาจปรับเปลี่ยน ก่อน ค.ศ. 2015
ฝั่ง “ปีศาจแดง” ที่มีคิวเยือนถิ่นเซนต์ แมรี่ส์ ความเข้มข้นบังเกิดตั้งแต่ขอบสนาม ด้วยการปะมือของสองกุนซือดัตช์อย่าง หลุยส์ ฟาน กัลป์ และ โรนัลด์ คูมัน ที่ต่างรู้ไส้รูพุงกันอย่างดีจากวิบากกรรมที่ทำร่วมกันตั้งแต่สมัยค้าแข้ง, คุมทีมในสเปนและบ้านเกิด
แม้รูปเกมของยูไนเต็ดที่ไม่ไหลลื่นและยิงเข้ากรอบแค่ 3 ครั้ง ทว่า ท้ายสุด พระเอกยังเป็นคนสัญชาติดัตช์ โรบิน ฟาน เพอร์ซี่ เจ้าของ 2 ประตูช่วยให้แมนฯ ยูไนเต็ดเฉือน “นักบุญแดนใต้” 2-1 พร้อมผงาดขึ้นมาเป็นที่ 3 ของตารางแล้ว
ขณะที่สองทีมใหญ่อย่าง อาร์เซน่อล และ ลิเวอร์พูล นี่เป็นสัปดาห์ที่น่าผิดหวังเหลือเกิน “ไอ้ปืนใหญ่” บุกเยือนบริทานเนีย สเตเดี้ยม ด้วยสถิติอันย่ำแย่ และมันถูกตอกย้ำด้วยการเสียประตูแรก หลังเขี่ยลูกแค่ 19 วินาที!
“ช่างปั้นหม้อ” จู่โจมระลอกแล้วระลอกเล่าแม้ท้ายเกมมีแผ่วและเสีย 2 ประตู แต่การกระทุ้งตุนถึง 3 ลูกก่อนหน้านั้น ย่อมเพียงพอให้ทีมของ มาร์ค ฮิวจ์ส คว้า 3 แต้มเข้าป้าย เกมรับอ่อนยวบกลายเป็นการบ้านข้อใหญ่ของ อาร์เซน เวนเกอร์
“หงส์แดง” ในวันที่ดร๊อป สตีเว่น เจอร์ราร์ด ไว้ข้างสนามอีกครั้ง แปรสภาพเป็นนกน้อยพัดบิน ไร้ทิศทางและหมดสิ้นเรี่ยวแรง เกมรุกที่มีแต่เด็กเมื่อวานซืน ไม่อาจทำอะไรซันเดอร์แลนด์ได้แม้แต่น้อย และหากว่ากันอย่างเป็นธรรม “แมวดำ” มีลุ้นถึงชนะด้วยซ้ำ
7 แต้มจาก 3 นัดในรอบสัปดาห์ เบรนแดน ร็อดเจอร์ส บอกว่าพอใจ …แต่ด้วยฟอร์มแบบนี้ แฟนหงส์ต่างรู้สึกเพลียพ่ะย่ะค่ะ!
ไข้หวัดนก? “ไก่เดือยทอง” เจียนอยู่เจียนไปในการรับมือคริสตัล พาเลซ และผลเสมอ 0-0 ถือว่าสเปอร์สรอดตัวอย่างปาฎิหารย์ ทั้งที่โดนคู่แข่งร่วมเมืองบดหนักอย่างต่อเนื่อง
ท้ายตาราง สถานการณ์เปลี่ยนเล็กน้อย หลังควีนสปาร์ค เอาชนะ เบิร์นลีย์ 2-0 พร้อมดีดตัวเองพ้นโซนแดงสำเร็จ ส่งให้ “ตราเสือ” ฮัลล์ ซิตี้ ที่ได้แค่เสมอเวสต์บรอมวิช 0-0 ในรังหล่นมาอยู่แทนที่
“จิ้งจอกสีน้ำเงิน” ยังดำดิ่งอยู่ก้นตาราง หลังโดนวิลล่าแซงชนะ 2-1 การได้แค่ 2 แต้มจาก 10 เกม ทำให้เก้าอี้ของ ไนเจล เพียร์สัน ร้อนยิ่งกว่าไฟ และกลายเป็นเต็ง 1 ที่จะโดนปลดจากเก้าอี้ผู้จัดการทีม
สำหรับวันอาทิตย์หน้า บิ๊กแมตช์อยู่ที่โอลด์แทร็ฟฟอร์ด ด้วยคิว “แดงเดือด” ยกแรกของฤดูกาลนี้ หลุยส์ ฟาน กัลป์ ในช่วงขาขึ้น หลังพาทีมชนะรวด 5 เกมซ้อน เผชิญหน้ากับบีร็อดในวันไอเดียหด คงไม่ต้องบอกว่าแนวโน้มของเกมจะออกมาในรูปแบบไหน?
ภาพรวมพรีเมียร์ลีก
นัดที่แข่งไปแล้ว : 150
เจ้าบ้านชนะ : 43%
เสมอ : 29%
ทีมเยือนชนะ : 29%
ประตู : 393
ประตูเฉลี่ยต่อนัด : 2.62
เจ้าบ้านทำประตูเฉลี่ยต่อนัด : 1.47
ทีมเยือนทำประตูเฉลี่ยต่อนัด : 1.15
สรุปอันดับดาวซัลโว
14 ประตู : เซร์คิโอ อเกวโร่ “กุน” (แมนฯ ซิตี้)
11 ประตู : ดีเอโก้ คอสต้า (เชลซี)
9 ประตู : อเล็กซิส ซานเชส (อาร์เซน่อล)
8 ประตู : ชาร์ลี ออสติน (ควีนสปาร์ค)
7 ประตู : ไซโด้ เบราฮิโน่ (เวสต์บรอมวิช), วิลฟรีด โบนี่ (สวอนซี), ปาปิสส์ ซิสเซ่ (นิวคาสเซิ่ล), กราเซียโน่ เปลเล่ (เซาธ์แฮมป์ตัน), ดิอาฟร่า ซาโก้ (เวสต์แฮม)
6 ประตู : นาเซอร์ ชาดลี่ (สเปอร์ส), โรเมลู ลูกากู (เอฟเวอร์ตัน), โรบิน ฟาน เพอร์ซี่ (แมนฯ ยูไนเต็ด), เลโอนาร์โด้ อูยัว (เลสเตอร์)
5 ประตู : คริสเตียน เอริคเซ่น (สเปอร์ส), เอแด็น อาซาร์ (เชลซี), มิเล่ เย่ดินัค (คริสตัล พาเลซ), เวยน์ รูนีย์ (แมนฯ ยูไนเต็ด)
4 ประตู : โมฮาเหม็ด ดิยาเม่ (ฮัลล์), สตีเว่น เฟล็ทเชอร์ (ซันเดอร์แลนด์), แดนนี่ อิงส์ (เบิร์นลี่ย์), นิกิช่า เยลาวิช (ฮัลล์), สเตฟาน โยเวติช (แมนฯ ซิตี้), ฆวน มาต้า (แมนฯ ยูไนเต็ด), สตีเว่น เนสมิธ (เอฟเวอร์ตัน), ยาย่า ตูเร่ (แมนฯ ซิตี้), โจนาธาน วอลเตอร์ส (สโต๊ค)
3 ประตู : กาเบรียล อักบอนลาฮอร์ (แอสตัน วิลล่า), เฟรเซอร์ แคมป์เบลล์ (คริสตัล พาเลซ), ปีเตอร์ เคร้าซ์ (สโต๊ค ซิตี้), มาเม่ บิราม ดิยุฟ (สโต๊ค ซิตี้), ดิดิเย่ร์ ดร็อกบา (เชลซี), เนธาน ดายเออร์ (สวอนซี), ซามูเอล เอโต้ (เอฟเวอร์ตัน), สตีเว่น เจอร์ราร์ด (ลิเวอร์พูล), อาเบล เอร์นานเดซ (ฮัลล์), แฟร้งค์ แลมพาร์ด (แมนฯ ซิตี้), อังเคล ดิ มาเรีย (แมนฯ ยูไนเต็ด), เควิน มิรัลลาส (เอฟเวอร์ตัน), ออสการ์ (เชลซี), อาโยเซ่ เปเรซ (นิวคาสเซิ่ล), อารอน แรมซี่ย์ (อาร์เซน่อล), เวย์น เราท์เล็ดจ์ (สวอนซี), มอร์กกาน ชไนแดร์ลิน (เซาธ์แฮมป์ตัน), ราฮีม สเตอร์ลิง (ลิเวอร์พูล), เอ็นเนร์ วาเลนเซีย (เวสต์แฮม), วิคเตอร์ วานยาม่า (เซาธ์แฮมป์ตัน), อันเดรียส ไวมันน์ (แอสตัน วิลล่า), แดนนี่ เวลเบ็ค (อาร์เซน่อล)
2 ประตู : ชาร์ลี อดัม (สโต๊ค), เอ็มมานูเอล อเดบายอร์ (สเปอร์ส), มอร์กกาน อมาลฟิตาโน่ (เวสต์แฮม), เลห์ตัน เบนส์ (เอฟเวอร์ตัน), โบยาน เกร์กิซ (สโต๊ค), จอร์จด บอยด์ (เบิร์นลี่ย์), เอสเตบัน กัมบิอัสโซ่ (เลสเตอร์), แอนดี้ แคร์โรลล์ (เวสต์แฮม), เนธาเนียล ไคลน์ (เซาธ์แฮมป์ตัน), คาร์ลตัน โคล (เวสต์แฮม), เชมัน โคลแมน (เอฟเวอร์ตัน), แจ็ค คอร์ก (เซาธ์แฮมป์ตัน), เคร็ก ดอว์สัน (เวสต์บรอมวิช), เอริก ดายเออร์ (สเปอร์ส), สจ๊วร์ต ดาวนิ่ง (เวสต์แฮม), เอดิน เชโก้ (แมนฯ ซิตี้), มารูยาน เฟลไลนี่ (แมนฯ ยูไนเต็ด), ลีรอย เฟอร์ (ควีนส์ปาร์ค), ดไวท์ เกย์ล (คริสตัล พาเลซ), โอลิวิเย่ร์ ชิรูด์ (อาร์เซน่อล), เบรเด้ ฮันเกลันด์ (คริสตัล พาเลซ), จอร์แดน เฮนเดอร์สัน (ลิเวอร์พูล), อันเดร์ เอร์เรร่า (แมนฯ ยูไนเต็ด), บรานิสลาฟ อิวาโนวิช (เชลซี), ฟิล จากีลก้า (เอฟเวอร์ตัน), แฮร์รี่ เคน (สเปอร์ส), อดัม ลัลลาน่า (ลิเวอร์พูล), เชบาสเตียน ลาร์สสัน (ซันเดอร์แลนด์), เชน ลอง (เซาธ์แฮมป์ตัน), โลอิก เรมี่ (เชลซี), เจฟฟรี่ย์ ชลุปป์ (เลสเตอร์), อันเดร เชือร์เล่ (เชลซี), กิลฟี่ ซิกูร์ดส์สัน (สวอนซี), ดาบิด ซิลบา (แมนฯ ซิตี้), คี ชุง-ยอง (สวอนซี), คอนนอร์ วิคแฮม (ซันเดอร์แลนด์), เมาโร ซาราเต้ (เวสต์แฮม)
สรุปจอมเปิดป้อน
11 ประตู : เชส ฟาเบรกาส (เชลซี)
8 ประตู : กิลฟี่ ซิกูร์ดส์สัน (สวอนซี)
6 ประตู : เลห์ตัน เบนส์ (เอฟเวอร์ตัน), สจ๊วร์ต ดาวนิ่ง (เวสต์แฮม), อังเคล ดิ มาเรีย (แมนฯ ยูไนเต็ด), ดูซาน ทาดิช (เซาธ์แฮมป์ตัน)
4 ประตู : คริส บรันท์ (เวสต์บรอมวิช), เอริค ลาเมล่า (สเปอร์ส), เจมส์ มิลเนอร์ (แมนฯ ซิตี้), เฆซุส นาบาส (แมนฯ ซิตี้), ออสการ์ (เชลซี), ราฮีม สเตอร์ลิง (ลิเวอร์พูล)
3 ประตู : เซร์คิโอ อเกวโร่ “กุน” (แมนฯ ซิตี้), แกรม ดอร์แรนส์ (เวสต์บรอมวิช), จอร์แดน เฮนเดอร์สัน (ลิเวอร์พูล), อันเดร์ เอร์เรร่า (แมนฯ ยูไนเต็ด), ดารีล ยันมาต (นิวคาสเซิ่ล), เจฟเฟอร์สัน มอนเตโร่ (สวอนซี), วิคเตอร์ โมเสส (สโต๊ค), เจสัน พันเชียน (คริสตัล พาเลซ), สเตฟาน ควินน์ (ฮัลล์), รามิเรส (เชลซี), เวยน์ รูนี่ย์ (แมนฯ ยูไนเต็ด), อเล็กซิส ซานเชซ (อาร์เซน่อล)
2 ประตู : พาทริค ฟาน อานโฮลท์ (ซันเดอร์แลนด์), แชมมี่ อเมโอบี้ (นิวคาสเซิ่ล), ชาร์ลี ออสติน (ควีนส์ปาร์ค), เซซาร์ อัชปิลิกวยต้า (เชลซี), ไรอัน เบอร์ทรานด์ (เซาธ์แฮมป์ตัน), ยานนิค โบลาซี่ (คริสตัล พาเลซ), วิลฟรีด โบนี่ (สวอนซี), ซานติ กาซอร์ล่า (อาร์เซน่อล), อารอน เครสส์เวลล์ (เวสต์แฮม), สกอตต์ แดนน์ (คริสตัล พาเลซ), มาเม่ บิราม ดิยุฟ (สโต๊ค), เนธาน ดายเออร์ (สวอนซี), อาห์เหม็ด เอล โมฮามาดี้ (ฮัลล์), ราดาเมล ฟัลเกา (แมนฯ ยูไนเต็ด), ลีรอย เฟอร์ (ควีนส์ปาร์ค), แฟร์นันดินโญ่ (แมนฯ ซิตี้), เมาริซิโอ อิสล่า (ควีนส์ปาร์ค), คาร์ล เจนกินสัน (เวสต์แฮม), ลูคัส ยัตคีวิช (เบิร์นลี่ย์), ซีกู กูยาเต้ (เวสต์แฮม), เซบาสเตียน ลาร์สสัน (ซันเดอร์แลนด์), อารอน เลนน่อน (สเปอร์ส), เนมาย่า มาติช (เชลซี), ซามีร์ นาสรี่ (แมนฯ ซิตี้), กราเซียโน่ เปลเล่ (เซาธ์แฮมป์ตัน), สตีเว่น พีนาร์ (เอฟเวอร์ตัน), อารอน แรมซี่ย์ (อาร์เซน่อล), แดนนี่ โรส (สเปอร์ส), ดาบิด ซิลบา (แมนฯ ซิตี้), เจมส์ ทอมกิ้นส์ (เวสต์แฮม), เอ็นเนร์ วาเลนเซีย (เวสต์แฮม), เจมี่ วาร์ดี้ (เลสเตอร์), เอดูอาร์โด้ วาร์กัส (ควีนส์ปาร์ค), โจนาธาน วอลเตอร์ส (สโต๊ค), เจมส์ วอร์ด-เพราส์ (เซาธ์แฮมป์ตัน), อันเดรียส ไวมันน์ (แอสตัน วิลล่า), แดนนี่ เวลเบ็ค (อาร์เซน่อล), ปาโบล ซาบาเลต้า (แมนฯ ซิตี้)