ความแตกต่างในพรีเมียร์ลีก
สวัสดีครับเพื่อนๆนักแทงบอลหรือแทงบอลออนไลน์ทุกๆคนครับ “ผู้รักษาประตูที่ดี ช่วยให้ทีมเก็บได้ถึง 15 แต้ม” เซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน เคยกล่าวเอาไว้
ดูเหมือนคำพูดของตำนานผู้ยิ่งยงแห่งแมนฯ ยูไนเต็ด เป็นความจริงทุกประการสำหรับผลงานของ “ปีศาจแดง” ในฤดูกาลนี้
ดาบิด เด เคอา จอมหนึบชาวสเปน กลายเป็นป้อมปราการสุดเข้มแข้งเกมแล้วเกมเล่า จนหลายสื่อในเมืองผู้ดีต่างยกให้เป็นนายทวารที่ฟอร์มดีที่สุดในยุโรปชั่วโมงนี้
เกม “แดงเดือด” นายทวารพันธ์กระทิงแสดงให้เห็นความเหนียวแน่น นิ่ง และการยืนตำแหน่งที่ดีประกอบจากคู่แข่งจากถิ่นเมอร์ซี่ย์อยู่ในสภาพเสื่อมสมรรถภาพเกมรุกอย่างชัดเจน
ผลลัพธ์ 3-0 มิได้สะท้อนถึงรูปเกมอย่างแท้จริง
เบรนแดน ร็อดเจอร์ส กุนซือเก้าอี้ร้อน ปราดเปรื่องหรือป่นปี้? อาฟเตอร์ช็อกหลังตกรอบชปล. ลนก้นให้ต้องตัดสินใจเปลี่ยนแปลง หวยตกไปที่ ซิมง มิโญเล่ต์ และทำให้ แบรด โจนส์ ได้โอกาสเฝ้าเสา ไม่เพียงเท่านั้น 11 ตัวแรกของลิเวอร์พูล กลับไม่ปรากฏผู้เล่นศูนย์หน้า ไม่ว่าจะเป็น ริคกี้ แลมเบิร์ต หรือ มาริโอ บาโลเตลลี่ ที่เพิ่งหายเจ็บกลับมา
ไร้ดิ มาเรีย ไม่ใช่ปัญหาสำหรับยูไนเต็ด หลุยส์ ฟาน กัล ยังอุดมด้วยแข้งตัวรุกระดับพระกาฬ แม้คู่ขาแดนหน้าของ โรบิน ฟาน เพอร์ซี่ จะเป็นไอหนู เจมส์ วิลสัน ก็ตาม
อย่างที่เห็นกันทั่วโลก รูปเกมของลิเวอร์พูลไม่ได้เป็นรอง ทว่า จังหวะสุดท้ายต่างหากเล่าที่แปรเปลี่ยนทุกอย่าง ราฮีม สเตอร์ลิง มีโอกาสปิดบัญชีก่อนและทำไม่สำเร็จ คล้อยหลังไปแค่ 25 วินาที ผีแดงสวนกลับและได้ประตูเบิกร่องจาก เวย์น รูนี่ย์ ในนาทีที่ 12
นี่ต่างหากเล่าที่สะท้อนรูปเกมชัดเจน ผีแดงโป้งเป็นประตู ขระที่หงส์ยิงเท่าไหร่ก้ไม่เข้า สกอร์ 3-0 แต่ ดาบิด เด เคอา กลายเป็น แมน ออฟ เดอะ แมตซ์ มันคงไม่ใช่สิ่งที่เกิดขึ้นบ่อยๆ
21 แต้มจาก 16 นัดของลิเวอร์พูล นับเป็นผลงานแย่ที่สุดในรอบ 50 ปีของสโมสร และแน่นอน ร็อดเจอร์สแย่กว่า รอย ฮ็อดจ์สัน และ แกรม ซูเนสส์ สองกุนซือยุคก่อนที่กลายเป็นสัญลักษณ์ของความล้มเหลวก่อนหน้านี้
สวนทางกับปีศาจแดงที่ทะยานยึดอันดับ 3 ไว้อย่างเหนียวแน่น แม้ยังห่างสองทีมนำอยู่ไม่น้อย แต่พื้นที่ยุโรปอันเป็นเป้าหมายแรกไม่น่าแคล้วคลาด ความมั่นใจพุ่งปรี๊ด ใครบางคนเชื่อว่า ผีแดงมีดีพอลุ้นแชมป์ในบั้นปลายด้วยซ้ำ
กระนั้น สองทีมหัวหาดมิได้อ่อนแรงแม้แต่น้อย ลูกทีมของ โชเซ่ มูรินโญ่ คว้าชัยอย่างไม่ยากเย็น เหนือคู่แข่ง ฮัลล์ ซิตี้ 2-0 ประตูของอาซาร์และคอสต้า กอปรกับการที่ “ตราเสือ” เหลือแค่ 10 คน หลัง ทอม ฮัดเดิลสตัน โดนใบแดงไล่ออก เชลซีปิดจ๊อบอย่างไม่เป็นทางการนับตั้งแต่วินาทีนั้น
เช่นเดียวกับ “เรือใบสีฟ้า” ที่มีปัญหาขาดกองหน้า เซร์คิโอ อเกวโร่ “กุน” ล้มหมอนไปแล้ว ขณะที่ สเตฟาน โยเวติช ยังไม่สมบูรณ์ ส่วน เอดิน เชโก้ มาเจ็บตอนวอร์ม สุดท้าย กลายเป็นไอ้หนู โฆเซ่ อังเคล โปโซ่ ที่ลงเป็นตัวจริง
แต่พระเอกของงานคือ แฟร้งค์ แลมพาร์ด มิดฟิลด์ตัวเก๋าที่ยังคงจมูกไวในพื้นที่สุดท้าย และโฉบเฉี่ยวขึ้นมาทำประตูชัย พาทีมเฉือนเลสเตอร์ 1-0 ในรูปเกมที่ไม่เหนือกว่าทัพ “จิ้งจอกสีน้ำเงิน” ซักเท่าไหร่
มุมฟ้าแห่งแมนเชสเตอร์ลิ่วลมกดดันเชลซี ด้วยแต้มห่างเพียง 3 คะแนน ต่างกับ เลสเตอร์ ที่แน่นิ่งอยู่บ๊วยของลีก หลัง เก็บได้แค่ 2 แต้ม จาก 11 เกมหลังสุด พร้อมกับทำให้เก้าอี้ของ ไนเจล เพียร์สัน ร้อนขึ้นทุกที
เพียร์สัน จะไปเมื่อไหร่ไม่รู้? แต่ที่โดนเซ่นสังเวยผลงานห่วยไปแล้วคือ เทอร์รี่ โรบินสัน ปลดผู้บริหารฝ่ายฟุตบอล
“ไอ้ปืนใหญ่” โดยเฉพาะอย่างยิ่ง โอลิวิเย่ร์ ชิรูด์ กลั่นผลงานระเบิดเถิดเทิง หลังตะบัน 2 ประตู พาทีมหยุดซ่า นิวคาสเซิ่ล ยูไนเต็ด ราบคาบถึง 4-1 นี่เป้นคู่แข่งที่กองหน้าเฟร้นช์โปนดปรานซะเหลือเกิน
ขณะที่ “ไก่เดือยทอง” เรียกความมั่นใจคืนมาได้ไม่น้อย นี่เป็นอีกครั้งที่พวกเขามีก๊อกสอง หลังเบียดชนะสวอนซีถึงถิ่น 2-1 ไอ้หนู แฮร์รี่ เคน ยิงได้ต่อเนื่อง ส่วน คริสเตียน เอริคเซ่น รับบทฮีโร่ซัดประตุชัยท้ายเกมอีกครั้ง
เอฟเวอร์ตัน ปลดล็อกหลังบู่มา 3 เกมติด ด้วยชัยชนะเหนือควีนปาร์ค 3-1 ไอ้หนู รอสส์ บาร์คลี่ย์ ตะบันสุดสวยเป็นประตูเบิกร่อง แม้แฉลบ เมาริซิโอ อิสล่า เล็กน้อยก็ตาม ส่วนประตูที่ 2 ของ เควิน มิรัลลาส นั้นอุดมโชคชัดเจน เมื่อฟรีคิกของเขาโดน เอดูอาร์โด้ วาร์กาส เปลี่ยนทางเข้าประตู
“ทอฟฟี่สีน้ำเงิน” จึงขยับมาอยู่กลางตารางและแซงหน้าคู่แข่งร่วมเมืองด้วยผลต่างประตู ขณะที่ ควีนส์ปาร์ค ยังเก็บแต้มนอกบ้านแม้แต่คะแนนเดียวในฤดูกาลนี้และเหลืออีกแค่นัดเดียวที่จะทาบสถิติแพ้เกมเยือน 9 นัดซ้อนของ โบลตัน ในฤดูกาล 1995-96